วันเสาร์ที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2557

ทองกวาว ช้างน้าว



ดอกทองกวาว

ชื่อวิทยาศาสตร์      Butea monosperma  (Lam.) Taub
ตระกูล                  PAPILIONACEAE
ชื่อสามัญ              Flame of the forest, Bastard Teak
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
เป็น ไม้ยืนต้นขนาดกลาง สูงประมาณ 12-18 เมตร เปลือกต้นเป็นปุ่มปม กิ่งอ่อนมีขนละเอียดสีน้ำตาลหนา การแตกกิ่งก้านไปในทิศทางที่ไม่ค่อยเป็นระเบียบ
  • ใบ: เป็นใบประกอบแบบขนนก มีใบย่อย 3 ใบ เรียงสลับใบย่อยที่ปลายรูปไข่ กลีบแกมสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูน ใบย่อยด้านข้างเป็นรูปไม่เบี้ยว กว้าง 8-15 เซนติเมตร ยาว 9-17 เซนติเมตร ขอบใบเรียบ
  • ดอก: ออกเป็นช่อคล้ายดอกทองหลาง สีแดงส้ม มีความยาว 6-15 เซนติเมตร มีดอกย่อยเกาะเป็นกลุ่ม เวลาบานมี 5 กลีบ จะออกดอกดกที่สุดในเดือนกุมภาพันธ์ของทุกปี
  • ผล: ผลมีลักษณะเป็นฝักสีน้ำตาลอ่อน แบน โค้งงอเล็กน้อย ไม่แตก ด้านบนหนาแตกเป็น 2 ซีก มีเมล็ดขนาดเล็กอยู่ภายใน 1 เมล็ด ฝักยาวประมาณ 10-12 เซนติเมตร กว้างประมาณ 2-3 เซนติเมตร
การปลูก
นิยมปลูกลงในแปลงปลูก เพื่อประดับบริเวณบ้านและสวน ขนาดหลุมปลูก 50x50x 50 เซนติเมตรใช้ปุ๋ยคอก หรือปุ๋ยหมัก : ดินร่วนอัตรา 1:2 ผสมดินถ้าปลูกเพื่อประดับบริเวณบ้านหรืออาคารควรให้มีระยะห่างที่เหมาะสม เพราะทองกวาวเป็นไม้ที่มีทรงพุ่มใหญ่พอสมควร
การดูแล
แสง ต้องการแสงแดดจัด หรือกลางแจ้ง
น้ำ ต้องการปริมาณน้ำปานกลาง ควรให้น้ำ 7-10 วัน/ครั้ง
ดิน ชอบดินร่วนซุย
ปุ๋ย ใช้ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก อัตรา 2:3 กิโลกรัม/ต้น ควรใส่ปีละ 3-5 ครั้ง
โรค ไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องโรค เพราะเป็นไม้ที่ทนต่อโรคพอสมควร
ประโยชน์
  • ดอก ต้มดื่มเป็นยาแก้ปวด ถอนพิษไข้ ขับปัสสาวะ
  • ฝัก ต้มเอาน้ำเป็นยาขับพยาธิ
  • ยาง แก้ท้องร่วง
  • เปลือก มีงานวิจัยพบว่า สารสกัดจากเปลือก ช่วยเพิ่มขนาดหน้าอกให้ใหญ่ขึ้น แต่จะลดจำนวนอสุจิ
  • เมล็ด บดผสมมะนาว ทาบริเวณผื่นคัน
  • ใบ ต้มกับน้ำ แก้ปวด ขับพยาธิ ท้องขึ้น ริดสีดวงทวาร
  • ราก ต้มรักษาโรคประสาท บำรุงธาตุ



ดอกช้างน้าว

ช้างน้าว มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Ochna integerrima Merr อยู่ในวงศ์ OCHNACEAE มีถิ่นกำเนิดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ช้างน้าวในภาคกลางเรียก กำลังช้างสาร ระนองเรียก กระแจะ จันทบุรีเรียก ขมิ้นพระต้น ทางเหนือเรียก ตาลเหลือง

ช้างน้าวเป็นไม้ต้นผลัดใบขนาดเล็ก สูง 3-8 เมตร แตกกิ่งก้านจำนวนมาก ทรงพุ่มกลม จะผลัดใบพร้อมกับผลิดอก

ใบเป็นใบเดี่ยว รูปหอก เรียงแบบสลับ ปลายกิ่งมีกาบค่อนข้างแข็งปลายแหลมหุ้มตาอยู่ ขอบขนานใบ กว้าง 4-7 เซนติเมตร ยาว 8-18 เซนติเมตร ปลายใบแหลมเหลืองมน ขอบหยักถี่ๆ แผ่นใบเกลี้ยง เป็นมันทั้งสองด้าน

ดอก มีลักษณะเป็นช่อดอกสีเหลือง ออกเป็นช่อกระจุกที่ปลายยอด มีดอกย่อย 2-8 ดอก จะทยอยบาน ดอกย่อยมีกลีบเลี้ยงสีเขียวนวล รูปขอบขนาน 5 กลีบ โค้งงอไปหาปลายดอกและติดอยู่ จนกระทั่งเป็นผล กลีบดอกรูปหอก มีจำนวน 5-10 กลีบ เมื่อดอกย่อยบานมีเส้นผ่าศูนย์กลาง 4 เซนติเมตร หลุดร่วงง่าย แต่ละต้นมีดอกบานอยู่ 4-7 วัน มีกลิ่นหอมอ่อนๆ ฤดูดอกบานอยู่ในช่วงเดือน มกราคม-พฤษภาคม ส่วนใหญ่ผลัดใบก่อนแล้วออกดอกพร้อมกันทั้งต้นในช่วงปลายเดือนมีนาคม

ผลมีสีเขียว ๑-๓ เมล็ด ติดอยู่บนฐานรังไข่สีดำ เมื่อแก่เต็มที่เมล็ดมีสีแดง

เปลือกต้นที่มีรสขม ไปปรุงเป็นยา ช่วยให้เจริญอาหาร

รากไปใช้ขับพยาธิ แก้น้ำเหลืองเสีย

ขยายพันธุ์โดยเพาะเมล็ด ตอนกิ่ง และตัดชำราก ชอบแดดจัด ดินร่วนระบายน้ำดี ทนแล้งได้ดี

บัวดิน ผีเสื้อ



ดอกบัวดิน

บัวดิน (Zephyranthas sp.) เดิมทีบางคนเรียกบัวสวรรค์ แต่ปัจจุบันนิยมเรียกบัวดินหรือบัวจีนมากกว่าเมื่อประมาณ 2 ปีก่อนมีไม้ตัดดอกชนิดหนึ่งที่มีรูปร่างหน้าตาคล้ายดอกบัวสีชมพู  มีลักษณะต้นและใบคล้ายพุทธรักษา  ในตลาดเรียกพืชชนิดนี้ว่าบัวสวรรค์แทนที่บัวดิน อย่างไรก็ตาม หากพูดถึงบัวดินทุกคนคงนึกถึงไม้หัวขนาดเล็ก มีใบติดดิน แล้วเวลาฝนตกก็จะชูช่อดอกออกมาให้ชื่นชม ลองมาดูในรายละเอียดดีกว่า
บัวดินนี้อยู่ในวงศ์ Amaryllidaceae ซึ่งมีพืชชนิดอื่น ๆ ร่วมอยู่หลายอย่าง เช่น ว่านสี่ทิศ พลับพลึง หอม กระเทียม ฯลฯ จัดเป็นไม้หัวขนาดเล็กหัวจะมีลักษณะกลม ใบมีขนาดเล็ก แบนบางชนิดเป็นเส้นมีใบยาวประมาณ 15-30 ซม.  ดอกเป็นรูปกรวย มีกลีบ 6 กลีบ ชั้นเดียว ก้านช่อดอกยาวประมาณ 10-30 ซม. กลวงและตั้งตรง มีหลายสีหลายพันธุ์ พอจะกล่าวถึงได้ดังนี้คือ

                                     

                                                                                      
ดอกผีเสื้อ


ชื่อสามัญ               China Pink , Indian Pink 

ชื่อวิทยาศาสตร์        Dianthus chinensis L. 
วงศ์                     CAYOPHYLLACEAE

ดอกผีเสื้อ  เป็นไม้ดอกล้มลุก ทรงพุ่มเล็ก สูงประมาณ  20  30 เซนติเมตร ลำต้นแตกเป็นกอ มีถิ่นกำเนิดทางทวีปยุโรป(จัดเป็นดอกไม้สกุลเดียวกับ ดอกคาร์เนชั่น) 
ใบ  ลักษณะใบเดี่ยว รูปแถบเรียวยาว ปลายใบแหลม ใบสีเขียวเข้ม   ออกเวียนรอบต้น 
ดอก  ออกดอกเป็นช่อ ตามซอกใบและปลายยอด กว้างดอกประมาณ 5 - 7 เซนติเมตร กลีบดอกแบ ออกเป็นรูปพัด ขอบปลายกลีบ เป็นหยักๆแบบฟันเลื่อย ดอกผีเสื้อ มีหลายชนิด และมีหลายสี   เช่น ขาว ,ชมพู ,แดง ,ม่วง และบางชนิดมีหลายสีในดอกเดียวกัน
ขยายพันธุ์   โดยการเพาะเมล็ด , ปักชำ เพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ        
*** นิยมปลูกดอกผีเสื้อไว้เป็นไม้ประดับ เป็นพืชที่ชอบแสงแดดจัด  ชอบดินระบายน้ำได้ดี






ลำโพง ชา



ดอกลำโพง

 ต้นลำโพงเป็นไม้ล้มลุกชนิดหนึ่ง ซึ่งจะมีดอกลักษณะทรงกรวยยาวปากบายคล้ายแตรทรัมเป็ต หรือคล้ายกับดอกผักบุ้งแต่มีขนาดใหญ่กว่า คนสมัยก่อนจะใช้ลำโพงเป็นยาสมุนไพร ช่วยระงับความเจ็บปวด และแก้อาการเกร็ง นำมามวนเป็นบุหรี่ใช้สูบแก้อาการโรคหืด หรืออาจนำเมล็ดมาตำให้ละเอียด และแช่ในน้ำมันพืช น้ำมันมะพร้าว หรือน้ำมันงา เมื่อครบ 7 วันนำมากรอง แล้วนำน้ำมันที่ได้มาทาแก้อาการปวดเมื่อกล้ามเนื้อ
       
       นอกจากนี้ ผลของลำโพงก็ใช้แก้พิษไข้ แก้ไข้ที่ทำให้กระสับกระส่าย หรือน้ำมันจากเมล็ด ใช้ฆ่าเชื้อโรค แก้กลากเกลื้อน หิด เหา เชื้อโรคที่มีตัว แต่ก็มีการเตือนให้ระวังในการใช้เมล็ดลำโพง เพราะเชื่อว่ามีพิษทางเมาเบื่ออย่างรุนแรง อาจทำให้เป็นบ้า หรือถึงตายได้ รวมทั้งคนไทยในอดีตเรียกคนบ้าบางพวกว่า “บ้าลำโพง” เพราะเชื่อว่ากินหรือสูบลำโพงนั่งเอง
       
       จากข้อมูลของสถาบันวิจัยสมุนไพร กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ระบุว่าสารออกฤทธิ์ที่พบมากในเมล็ดและใบลำโพงคือ โทรเพน อัลคาลอยด์ ได้แก่ สโคโพลามีน (scopolamine) และไฮออสไซอะมีน (hy-oscyamine) โดยถ้ากินเมล็ดและใบของลำโพงเข้าไป จะปรากฏอาการภายในเวลา 5 - 10 นาที อาการที่พบคือ กระหายน้ำรุนแรง ปากและคอแห้ง ตาพร่า ม่านตาขยาย สู้แสงไม่ได้ น้ำลายแห้งทำให้กลืนน้ำลายยากและพูดไม่ชัด ผิวหนังร้อนแดงและแห้ง ตัวร้อน ปวดศีรษะ รู้สึกสับสน กล้ามเนื้อทำงานไม่ประสานกัน มึนงง มีอาการประสาทหลอน เด็กบางคนอาจมีอาการชัก ชีพจรเต้นเร็วและอ่อน นอกจากนี้ ยังมีอาการปัสสาวะคั่ง ท้องผูก รายที่รุนแรงจะหมดสติและโคม่า ส่วนการรักษาคนที่ได้รับพิษจากลำโพงเข้าไป ให้กินผงถ่าน เพื่อลดการดูดซึม แล้วรีบนำส่งโรงพยาบาล เพื่อล้างท้อง



ดอกชา

ชื่อวิทยาศาสตร์ :    Carmona retusa (Vahl) Masam.
ชื่อวงศ์ :               Boraginaceae
ชื่อพื้นเมือง :         ชาดัดใบมัน ข่อยจีน ชาญวน ชา ชาญี่ปุ่น
ลักษณะทั่วไป :      ไม้พุ่มขนาดเล็ก ลำต้นแตกกิ่งก้านจำนวนมากเป็นพุ่มแน่นทึบ
ใบ : ใบเดี่ยว เรียงสลับ มักออกเป็นกระจุกสั้นๆ ตามกิ่ง รูปไข่กลับแคบ กว้าง 0.5-2 เซนติเมตร ยาว 1-4 เซนติเมตร ปลายแยกเป็นพูแหลมมักเป็นติ่งหนามอ่อน โคนใบรูปลิ่ม  ขอบใบหยักผิวใบด้านบนสีเขียวเข้ม เป็นมันค่อนข้างหนาด้านหลังใบสีเขียวอ่อน
ดอก :   สีขาว ออกเป็นช่อแบบช่อกระจุกตามซอกใบ มีดอกย่อย 2-5 ดอก กลีบเลี้ยง 5 กลีบ รูปแถบ สีเขียวอ่อน ด้านนอกมีขนยาวประปรายโคนกลีบดอกเชื่อมติดกันเล็กน้อยเป็นรูปกรวย ปลายแยกเป็น 5 แฉก ดอกบานเต็มที่กว้าง 0.8 มิลลิเมตร
ผล :  ผลสด รูปกลมขนาด 6 มิลลิเมตร สีส้มแดง มี 4 เมล็ด
การขยายพันธุ์
เพาะเมล็ด ปักชำกิ่ง

รักเร่ มอร์นิ่งกลอรี่



ดอกรักเร่
ดอก รักเร่
ชื่อวิทยาศาสตร์ :
 Dahlia hybrid
วงศ์ : COMPOSITAE
ชื่อสามัญ : Garden Dahlia

ลักษณะทั่วไปดอกรักเร่ เป็นไม้ล้มลุก มีหัวใต้ดิน สูง 40-100 เซนติเมตร ใบเดี่ยวหรือใบประกอบ ใบย่อยสามใบ ออกตรงข้าม ปลายแหลม ขอบจักดอก มีหลายพันธุ์ เช่น ชมพู่ ส้ม ฯลฯ อาจมีลายหรือมีสองสีในดอกเดียวกัน ออกเดี่ยวที่ปลายยอด ริ้วประดับมี 2-3 ชั้น ดอกวงนอกรูป รางน้ำ ชั้นเดียวหรือหลายชั้น ดอกวงในเป็นหลอดปลายจัก 5 แฉกผลแบนนิเวศวิทยา – ถิ่นกำเหนิด เม็กซิโกออกดอก – ตลอดปีขยายพันธุ์ – เมล็ด หัวใต้ดินประโยชน์ – หัวใต้ดิน ต้มกับหมูรับประทานแก้โรคหัวใจ แก้ไข้ต้น น้ำคั้นจากต้นมีฤทธิ์เป็นยาปฏิชีวนะอ่อน ๆ ฆ่าเชื้อ Staphylococcusใบ บางทีมีพิษ ดอกรักเร่จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรีรักเร่ เป็นดอกไม้ที่มีถิ่นกำเนิดในเม็กซิโก โคลัมเบีย และทั่วไปในทวีปอเมริกากลาง ดอกมีรูปทรงและสีสันสวยงาม ก้านดอกแข็งแรง นิยมปลูกเป็นไม้ตัดดอกเช่นเดียวกับกุหลาบ แต่ในประเทศไทยไม่นิยมปลูกเพราะชื่อไม่เป็นมงคลนั่นเอง ในอเมริกามีคดีฆาตกรรมชื่อดังที่ยังเป็นปริศนามาถึงทุกวันนี้ชื่อว่า Black Dahlia

ดอกมอร์นิ่งกลอรี่

ชื่อวิทยาศาสตร์ Ipomoea purpurea (Eye-poh-MEE-uh pur-PEW-ree-uh)
ชื่อสามัญ Morning Glory vine
วงศ์ Convolvulaceae
ถิ่นเดิม เขตร้อนของอเมริกา
ความสูง 3-5 เมตร
จำนวนเมล็ดในหนึ่งกรัม 25
สี ม่วงคราม แดง บานเย็น ชมพู ขาว นํ้าเงิน
เวลาจากเพาะเมล็ดจนให้ดอก 10 – 12 อาทิตย์

มอร์นิ่งกลอรี่เป็นไม้เถา ที่ได้ชื่อนี้เพราะดอกบานตอนเช้าที่มีแดดอ่อน และหุบตอนเที่ยงและบ่ายของวันที่แดดจัด แต่จะบานได้จนถึงเย็นในวันที่มีอากาศครึ้ม
มอร์นิ่งกลอรี่มีเมล็ดขนาดใหญ่ เปลือกเมล็ดหนาและแข็ง ทำให้การงอกช้าและไม่ค่อยสม่ำเสมอคือเมล็ดส่วนหนึ่งงอกใน 4 – 5 วัน ที่เหลืออาจใช้เวลาถึง 2 อาทิตย์ ถ้าต้องการให้งอกเร็วพร้อม ๆ กัน ให้แช่เมล็ดในนํ้าอุ่นแล้วทิ้งไว้ข้ามคืนเพื่อให้เปลือกอ่อนตัว หรือฝนเมล็ดกับกระดาษทรายพอให้เปลือกบางลงเพื่อให้นํ้าซึมเข้าไปได้ง่าย แล้วเพาะเมล็ดลงในที่ปลูกเลย เนื่องจากต้นไม่ชอบการย้ายปลูก ที่ปลูกควรอยู่กลางแจ้ง ดินไม่จำเป็นต้องสมบูรณ์นัก มอร์นิ่งกลอรี่เป็นไม้เถาแต่ไม่สามารถเลื้อยเกาะผนังกำแพงทึบ ต้องปลูกให้เกาะตามรั้วโปร่งๆ หรือทำแผงไม้ไผ่ให้เกาะ จะใช้เชือกหรือตาข่ายขึงให้เกาะก็ได้




ดาวเรือง บัวตอง



ดอกดาวเรือง

 ดาวเรือง (ชื่อวิทยาศาสตร์: Tagetes erecta L.; ชื่อสามัญ: Marigold) คำปู้จู้ คำปู้จู้หลวง (พายัพ) บ่วงสิ่วเก็ก เฉาหู้ยัง กิมเก็ก (จีน)ดาวเรืองนิยมปลูกตัดดอก เป็นดาวเรืองในกลุ่ม African หรือ American marigold เป็นพันธุ์ดอกใหญ่ พันธุ์ที่ใช้เป็นการค้าในประเทศไทยได้แก่พันธุ์ซอเวอร์เรน (soverign) นอกจากนี้ยังมีสายพันธุ์ใหม่ๆที่นำเข้ามาได้แก่ พันธุ์จาไมก้า (jamaica) และอื่นๆ อีกหลายพันธุ์
      ดาวเรือง เป็นไม้ดอกที่คนไทยนิยมปลูกกันมาก เนื่องจากเมล็ดมีขนาดใหญ่ปลูกง่าย งอกเร็ว ต้นโตเร็ว และแข็งแรงไม่ค่อยมีโรคหรือแมลงรบกวน ให้ดอกเร็ว ดอกดก มีหลายชนิดและหลายสี รูปทรงของดอกสวยงาม สีสันสดใส บานทนนานหลายวัน สามารถปักแจกันได้นาน 1-2 สัปดาห์ ให้ดอกในระยะเวลาสั้น คือ ประมาณ 60-70 วัน หลังปลูก ดังนั้นในการปลูกดาวเรืองสามารถกำหนดระยะเวลาการออกดอกให้ตรงกับเทศกาลสำคัญได้จึงมีผู้นิยมปลูก และใช้ดาวเรืองกันมาก นอกจากนี้ยังสามารถปลูกได้ตลอดปี และปลูกได้ทุกจังหวัดในประเทศไทย ดาวเรืองเป็นไม้ดอกที่ทำรายได้ให้กับผู้ปลูกสูง ในปัจจุบันการปลูกดาวเรืองนอกจากปลูกเพื่อตัดดอกขายแล้ว ยังนิยมปลูกในกระถางหรือถุงพลาสติก เพื่อประดับตกแต่งอาคารสถานที่ และปลูกเพื่อตัดดอกส่งโรงงานอาหารสัตว์อีกด้วย
     การปลูกดาวเรืองในประเทศไทย เริ่มมีมาตั้งแต่สมัยใดไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัด ทราบเพียงว่าดาวเรืองไม่ได้มีถิ่นกำเนิดอยู่ในประเทศไทย แต่มีการนำเข้าพันธุ์ดาวเรืองจากต่างประเทศมาปลูกเป็นเวลานานจนสามารถปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมในประเทศไทยได้ดี มีการกระจายตัวขอสายพันธุ์มากทั้งทางด้านรูปทรงดอก ขนาดดอก ลักษณะการเจริญเติบโต ตลอดจนการต้านทานต่อโรคและแมลง ประเทศไทยมีพื้นที่ปลูกดาวเรืองประมาณ 4,000 ไร่ มีแหล่งปลูกทีสำคัญ คือ จังหวัดพะเยา ลำปาง นนทบุรี กรุงเทพฯ ราชบุรี สมุทรสาคร สุพรรณบุรี และอุดรธานี


                                                                               
                                                                                   

ดอกบัวตอง

บัวตอง หรือ พอหมื่อนี่ (อังกฤษMexican Sunflower Weedชื่อวิทยาศาสตร์Tithonia diversifolia (Hemsl.) A. Gray. ) เป็นพืชพื้นเมืองของประเทศเม็กซิโกเป็นไม้ดอกมีอายุยืนยาวหลายปี สามารถสูงได้ถึง 5 เมตร ออกดอกเป็นช่อเดียว บริเวณ      ปลายกิ่ง มีสีเหลืองคล้ายดอกทานตะวัน แต่มีขนาดเล็กกว่า ดอกวงนอกเป็นหมัน กลีบเรียวมีประมาณ 12–14 กลีบ ดอกวงในสี   เหลืองส้มเป็นดอ สมบูรณ์เพศ ใบของบัวตองเป็นใบเดี่ยว รูปไข่หรือแกมขอบขนาน มีขนขึ้นเล็กน้อยประปราย บริเวณ     ปลายใบ เว้า มีขนขึ้นเล็กน้อยประปราย ปลายใบเว้าลึก 3–5 แฉก ชอบขึ้นในพื้นที่ที่มีอากาศเย็น จะ      ออกดอกสวยงามที่สุดบนยอด  ดอยที่สูงกว่า 800 เมตรขึ้นไป โดยจะออกดอกในช่วงระหว่างเดือน      พฤศจิกายนถึงต้นเดือนธันวาคมเท่านั้น ขยาย    พันธุ์ด้วยการเพาะเมล็ด                                                                                                                                                    






นางผญาเสื้อโคร่ง ไพรีทรัม



ดอกไพรีทรัม
  ต้นไพรีทรัมเป็นไม้ดอกทรงพุ่มเตี้ย ดอกสีเหลือง/ขาวคล้ายดอกเดซี่หรือดอกเบญจมาศ อยู่                              สกุล Chrysanthemum  ชนิด C. cinerariaefolium  เป็นพืชยืนต้นที่ชอบอากาศหนาวเย็น ปัจจุบันปลูกมา
แถบแอฟริกาตะวันออก เช่น เคนยา แทนซาเนีย รวันดา เมื่อนำดอกไพรีทรัมตากแห้งมาสกัด จะได้สารไพรี   ทรินส์ (pyrethrins) ที่มีคุณสมบัติ เป็นสารกำจัดแมลงที่มีประสิทธิภาพสูง เป็นสารกำจัดแมลงประเภทที่ทำให้แมลงตายเมื่อสัมผัส สารออกฤทธิ์ทำให้ยุงสลบอย่างรวดเร็วภายใน 2-3 นาที และยุงจะตายในที่สุด          เนื่องจากสารชนิดนี้เป็น lipophilic esters จึงถูกดูดซึมเข้าสู่ตัวแมลงอย่างรวดเร็ว และส่งผลต่อระบบประสาท    ของแมลงโดยตรง ทว่าสารนี้มีผลต่อมนุษย์และสัตว์เลือดอุ่นน้อยมาก เพราะในตับของมนุษย์และสัตว์เลือดอุ่นมีเอนไซม์ชนิดหนึ่งสามารถย่อยสลายไพรีทรินส์ให้กลายเป็นสารไม่มีพิษได้จึงไม่มีการสะสมในร่างกาย ซึ่งยุงไม่มีเอนไซม์ดังกล่าวเหมือนมนุษย์และสัตว์เลือดอุ่น สารไพรีทรินส์นี้จึงแตกต่างจากสารกำจัดแมลงโดยทั่วไป     นอกจากนี้ไพรีทรินส์ยังมีข้อดีคือ เป็นสารที่สลายตัวได้ดีในสิ่งแวดล้อมเมื่อถูกความร้อนหรือแสงแดด อีกทั้ง       องค์การอนามัยโลกยังจัดให้ไพรีทรินส์อยู่ในกลุ่มสารกำจัดแมลงที่มีอันตรายต่อมนุษย์และสัตว์เลือดอุ่นน้อย จึงเหมาะสมที่จะใช้กำจัดแมลงในบ้านเรือน                                                                                                  



ดอกนางผญาเสื้อโคร่ง

นางพญาเสือโคร่ง (ชื่อวิทยาศาสตร์: Prunus cerasoides) เป็นพืชดอกในสกุล Prunus ออกดอกช่วงเดือน     กุมภาพันธ์  พบทั่วไปบนดอยสูง เช่น ภูลมโล จังหวัดเลย ดอยแม่สะลอง จังหวัดเชียงราย ดอยเวียงแหง จังหวัด         เชียงใหม่ โดยเป็นดอกไม้ประจำอำเภอเวียงแหง  นางพญาเสือโคร่ง เป็นพรรณไม้ที่มีการกระจายพันธุ์ตามธรรมชาติ   อยู่ทางตอนใต้ของประเทศจีน ญี่ปุ่น ไต้หวัน และถูกนิยมเรียกว่า”ซากุระเมืองไทย” ผลของนางพญาเสือโคร่งสามารถ นำมารับประทานได้ มีรสเปรี้ยว ส่วนเนื้อไม้และการใช้ประโยชน์  ด้านอื่นยังไม่มีการบันทึกข้อมูลไว้ นอกจากการนำม   ปลูกเป็นไม้ประดับ เนื่องจากมีดอกสวยงาม                                                                                                        

ดุสิตา สร้อยสุวรรณา




ดอกสร้อยสุวรรณา
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Utricularia bifida   L.                                                                                                 

ชื่อวงศ์ : LENTIBULARIACEAE

ชื่ออื่นๆ : หญ้าสีทอง

ลักษณะ : พืชล้มลุก ขึ้นเป็นกอเล็ก สูง 10-15 ซม. ใบ เดี่ยว ขนาดเล็ก เรียงเวียนรอบโคนต้น มีอวัยวะจับแมลงเกิดตามข้อของไหล หรือบนใบ รูปกลมขนาดเล็ก มีก้านชูสั้นๆ ดอก สีเหลือง ออกเป็นช่อตั้งจากโคนกอ มีดอกย่อย 2-6 ดอก ขนาด 6-10 มม. กลีบดอกโคนเชื่อมติดกันเป็นหลอด กลีบบนมีขนาดใหญ่ประมาณ 2 เท่าของกลีบอื่น ปลายมนรูปไข่กลับ บริเวณโคนมีเส้นสีแดงเข้ม ตามยาว กลีบล่างมนกลมหรือแยกเป็น 2 พู ตรงกลางกลีบเป็นถุง รูปจงอยโค้ง ไปด้านหลัง เกสรผู้ 2 อัน ติดอยู่บนหลอดกลีบดอก ผล แบน รูปรีแกมรูปไข่ เมล็ด ขนาดเล็ก จำนวนมาก อินเดีย เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และอินโดนีเซีย ในประเทศไทยพบมากทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ขึ้นตามพื้นที่โล่งชื้นแฉะ ออกดอกช่วงเดือน กันยายน-ธันวาคม ช่วงออกดอกจะทิ้งใบ




ดอกดุสิตา

      สำหรับในประเทศไทยพบต้นดุสิตาขึ้นได้ที่ภูเขาในจังหวัดสกลนคร ชัยภูมิ ศรีสะเกษ เลย อุบลราชธานี โดยเฉพาะที่อุทยานแห่งชาติผาแต้ม จังหวัดอุบลราชธานี ในช่วงฤดูหนาว ต้นดุสิตาจะออกดอกสีม่วงเต็มท้องทุ่ง ดูแล้วสวยงามเป็นที่ชื่นชอบของนักท่องเที่ยวเป็นอย่างยิ่ง และนอกจากภาคตะวันออกเฉียงเหนือแล้ว เรายังสามารถชมความงดงามของต้นดุสิตาได้ที่จังหวัดเชียงใหม่ พิษณุโลก ปราจีนบุรี จันทบุรี และตราด 
    ทั้งนี้ ในแต่ละท้องถิ่นอาจเรียกชื่อต้นดุสิตาแตกต่างกันไป เช่น ในจังหวัดเลยจะเรียก "หญ้าเข็ม" หรือในพื้นที่อื่นก็อาจเรียกว่า "ดอกขมิ้น"
       ลักษณะของต้นดุสิตา

                ต้นดุสิตา เป็นไม้ล้มลุกขนาดเล็ก สูงเต็มที่ไม่เกิน 25 เซนติเมตร มีอายุเพียงแค่ 1 ปี แต่สามารถขยายพันธุ์ได้ด้วยเมล็ดและยกกอ โดยส่วนต่าง ๆ จะมีลักษณะดังนี้
       
                 ใบ : เป็นใบเลี้ยงเดี่ยว เรียงสลับ มีลักษณะคล้ายใบหอกกลับ กว้างประมาณ 0.5 มิลลิเมตร ยาวประมาณ 1 เซนติเมตร ปลายใบกลม ขอบใบเรียบ ผิวใบเกลี้ยง มีเส้นกลางใบ 1 เส้น ไม่มีก้านใบ เมื่อโตได้ระยะหนึ่ง ใบจะเปลี่ยนเป็นม้วนกลมเพื่อดักจับแมลง
       

                 ถุงดักจับ : ใช้สำหรับจับแมลงกินเป็นอาหาร มีขนาดเล็ก รูปไข่ขวาง เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 1 มิลลิเมตร มีรยางค์ 2 เส้น ยาวประมาณ 1 มิลลิเมตร ก้านถุงดักจับยาวประมาณ 1.5 มิลลิเมตร ผิวเกลี้ยง แกนช่อดอกยาวได้ถึง 10 เซนติเมตร ผิวเกลี้ยง มีดอกย่อยจำนวน 1-10 ดอก ก้านดอกย่อยยาวได้ถึง 6 มิลลิเมตร ใบประดับเป็นรูปใบหอกแกมรูปไข่ กว้างประมาณ 2 มิลลิเมตร ยาวประมาณ 5 มิลลิเมตร ปลายแหลม ขอบเรียบ 

                 ดอก : ออกเป็นช่อสีม่วง แทงขึ้นจากโคนกอ มีดอกย่อย 2-5 ดอกเรียงสลับกัน มักออกดอกในช่วงปลายหน้าฝนคือราว ๆ เดือนกันยายน ไปจนถึงหน้าหนาวในช่วงเดือนธันวาคม

                 กลีบดอก : เชื่อมติดกันเป็นรูปปากเปิด สีม่วงเข้ม กลีบปากด้านบนรูปเกือบกลม กว้างประมาณ 12 มิลลิเมตร ยาวประมาณ 9 มิลลิเมตร ปลายแหลม 
                 กลีบเลี้ยง : มี 2 กลีบ สีม่วงเข้ม เชื่อมติดกันที่ฐาน แฉกกลีบเลี้ยงขนาดไม่เท่ากัน กลีบด้านบนเป็นรูปไข่ปลายแหลม ส่วนกลีบด้านล่างเป็นรูปไข่แกมใบหอก ปลายเว้าบุ๋ม กว้าง 3-3.5 มิลลิเมตร ยาวประมาณ 8 มิลลิเมตร ขอบเรียบ 
                 ผล : เป็นรูปทรงรีคล้ายแคปซูล กว้างประมาณ 3 มิลลิเมตร ยาวประมาณ 5 มิลลิเมตร เมื่อผลแก่แห้งแล้วจะแตกออก ภายในมีเมล็ดขนาดเล็กอยู่เป็นจำนวนมาก
                 เมล็ด : เป็นรูปไข่ ยาวประมาณ 0.3 มิลลิเมตร 

วันเสาร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

ฤดูหนาว

     
ดอกลิลลี่

ชื่อวิทยาศาสตร์ Lilium spp.
ชื่อสามัญ Lily,  Easter Lily
ถิ่นกำเนิด ในทวีปเอเชียแถว ๆ จีนและญี่ปุ่น
ลิลลี่ (Lily, Lilium hybrids) เป็นไม้ดอกประเภทหัว มีดอกขนาดใหญ่เป็นสง่าและสวยงามมาก บางชนิดมีกลิ่นหอมมาก นับว่าเป็นดอกไม้ที่มีราคาแพงที่สุดในปัจจุบัน ใช้ได้ทั้งเป็นไม้ตัดดอกและไม้กระถาง ชนิดที่นิยมปลูกในปัจจุบันคือ ลิลลี่ปากแตร เนื่องจากดอกมีรูปทรงเหมือนแตร ชนิดนี้มีดอกสีขาวมีกลิ่นหอม ในต่างประเทศเรียก Easter lily อีกชนิดหนึ่งเป็นลูกผสมเอเชีย (Asiatic hybrids) มีช่อดอกตั้ง มีดอกหลายสี ชนิดนี้มีดอกไม่หอม อีกชนิดหนึ่งมีดอกหอมมากมีราคาแพงที่สุด คือลูกผสม Oriental hybridsในพื้นที่ของโครงการหลวง เช่น ดอยปุย ดอยอ่างขาง และดอยอินทนนท์ พบว่ามีลิลลี่พันธุ์พื้นเมือง หรือเรียกว่าลิลลี่ดอยขึ้นอยู่ในป่า ออกดอกในเดือนสิงหาคมดอกหอมมากโดยเฉพาะในเวลากลางคืนที่มีอากาศหนาวเย็นปัจจุบันนี้โครงการหลวงได้ทำการวิจัยขยายพันธุ์ลิลลี่ โดยวิธีการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อให้เกษตรกรชาวเขาปลูก นอกจากนี้ยังได้ทำการปรับปรุงพันธุ์ลิลลี่ลูกผสมต่างชนิด โดยใช้พ่อแม่พันธุ์ที่นำเข้าจากต่างประเทศผสมกับลิลลี่ดอยอีกด้วย


                                                         

         ดอกพวงคราม               
              
ชื่อวิทยาศาสตร์:    Petrea volubilis L.
ชื่อวงศ์:    VERBENACEAE
ชื่อสามัญ:    Purple Wreath, Sanpaper Vine, Queen’s Wreath
ชื่อพื้นเมือง:    ช่อม่วง
ลักษณะทั่วไป:

 ต้น    เป็นไม้เลื้อยที่ มีเถาใหญ่แข็งแรง กิ่งก้านก็ค่อนข้างแข็ง เถาอ่อนก็มีขนแต่เมื่อเถาแก่ขนก็จะหายไปเปลือกของต้นหรือ  เถาเป็นสีขาวหรือสี น้ำตาลอ่อนเถา สามารถเลื้อยคลุมต้นไม้อื่นไปได้ไกลมากกว่า 20 ฟุต  เป็นใบเดี่ยว ออกสลับ เว้าเป็นแฉก

 ดอก    ดอกเป็นช่อสีม่วงคราม มี 5 กลีบ คล้ายรูปดาว 5 แฉก กลีบรูปขอบขนาน ด้านบนของกลีบจะมีขน โคนกลีบดอกเชื่อมต่อกันเป็นหลอด ภายในดอกมีเกสรตัวอยู่ 4-5 อัน มีก้านร่วมกับเกสรตัวเมีย ปลายเกสรตัวเมียมี 3 แฉก พวงครามมักจะออกดอกและบานพร้อมกันเต็มช่อ ดอกค่อนข้างดกและจะบานทนนานได้หลายวันมา
 ฝัก/ผล    ผลค่อนข้างกลม เส้นผ่านศูนย์กลาง 4-6 ซม. เมื่อสุกสีม่วงหรือสีเหลืองมีเนื้อฉ่ำน้ำ  
 ฤดูกาลออกดอก:    ออกดอกตลอดปี โดยเฉพาะช่วงฤดูหนาว
 การขยายพันธุ์:   - เพาะเมล็ด 
                          - การตอนกิ่ง
                          - การปักชำกิ่ง การปักชำกิ่งในขี้เถ้าแกลบจะได้ผลดีกว่าการปักชำกิ่งในกระบะทราย หรือการปักชำกิ่งในดิน

 การใช้ประโยชน์:    ปลูกเป็นซุ้มหรือตามรั้วบ้าน และบริโภค
 ถิ่นกำเนิด:    หมู่เกาะเวสต์อินดีส บราซิล 
 ส่วนที่ใช้บริโภค:    ผลรับประทานได้ ทำแยม เครื่องดื่ม มีวิตามินซี โปรตีน และคาร์โบไฮเดรต


                                                                      
ดอกโครคัส

Crocus หรือ Krokus (โครคุส) ชื่อในภาษาเยอรมันมีลักษณะคล้ายๆกับดอกบัวบ้านเรา
 ดอกไม้ ต้อนรับฤดูใบไม้ผลิช่วงนี้อากาศอุ่นขึ้น มีแดดโผล่ออกมาให้เห็น ดอกไม้ก็เริ่มแข่งกันออกดอก บาน  สะพรั่งCrocus เป็นไม้ดอกที่นิยมปลูกกันมากค่ะ ไม่ว่าจะที่สวนส่วนตัวหรือสวนสาธารณะมีหลา
 สีด้วยกันค่ะ เช่น เหลือง ขาว ม่วง ม่วงอ่อน ฯลฯจะสังเกตว่าหน้าตารูปทรงของดอกโครคัสคล้ายๆ        
หญ้าฝรั่น(saffron) ที่เป็นเครื่องเทศให้สีส้มเหลืองในการทำอาหาร                                                          ประวัติศาสตร์ได้กล่าวถึง crocus ว่า เป็นดอกไม้ที่ชาวโรมันนิยมปลูกบนหลุมฝังศพ                                เพราะชาวโรมันยุคนั้นนิยมเชื่อว่า ดอกโครคัสสามารถทำให้ผู้ตายได้จุติใหม่ โดยมีชีวิตที่ดีกว่าเดิม      
   และในคืนวิวาห์คู่บ่าวสาวนิยมโรยดอกโครคัสบนเตียง เพราะเชื่อว่ากลิ่นของมันเป็นยาโป๊ว                      แม้แต่ชาวกรีกก็เชื่อเช่นกันว่า กลิ่นโครคัสสามารถกระตุ้นความรู้สึกที่จะมีเพศสัมพันธ์ได้ดีมาก             


ดอกไม้


                                                                               
ดอกทิวลิป

ทิวลิป เป็นดอกไม้เมืองหนาวที่มีถิ่นกำเนิดในทวีปยุโรป เป็นดอกไม้สัญลักษณ์ของฮอลแลนด์ มีอยู่  หลายสี ดอกทิวลิปจะปได้ต้องใช้อุณหภูมิที่เหมาะสม คือไม่เกิน 25 องศาเซลเซียส                                               
  • ดอกทิวลิปสีแดง หมายถึง ความมั่นคงในความรัก ความจริงจังและจริงใจของผู้ให้ ความซื่อสัตย์และรักอย่างหมดหัวใจ
  • ดอกทิวลิปสีชมพู หมายถึง ความสดใส ความสุขสมหวัง ความรักที่ลึกซึ้ง และความคิดถึง
  • ดอกทิวลิปสีเหลือง หมายถึง เป็นสัญลักษณ์แห่งความผิดหวัง
  • ดอกทิวลิปสีขาว หมายถึง ฉันเสียสละทุกอย่างได้เพื่อคุณ รักที่ไม่หวังผลตอบแทน
  • ดอกทิวลิปสีม่วง หมายถึง ความซื่อสัตย์ ความมั่นคง
  • ดอกทิวลิปสีส้ม หมายถึง ความรักที่ปกปิดซ่อนเร้น ความรู้สึกว้าวุ่น และอารมณ์ที่เต็มไปด้วยความอ่อนไหว



ดอกไลเซนทัส

ไลเซนทัส เป็นไม้ดอกขนาดเล็ก มีถิ่นกำเนิดอยู่ในแถบยุโรปลักษณะคล้ายดอกกุหลาบ แต่ออกดอกจะเป็นช่อไม่ใช่ดอกเดี่ยวเหมือนกับกุหลาบมีกลีบบางอ่อน ดูนุ่มนวล อ่อนช้อย มีหลายสี เช่น สีขาว พีช ขาวขอบชมพู   ขาวขอบม่วง ชมพู ม่วง และลาเวนเดอร์ดอกไลเซนทัสเมื่อใช้จัดร่วมกับดอกไม้ชนิดอื่นๆแล้ว จะช่วยให้การจัดดอกไม้ชิ้นงานนั้นๆ ดูอ่อนหวานขึ้นจึงมักถูกใช้ประดับในช่อดอกไม้ในงานแต่งงาน เพราะมีความหมายดีใน     ประเทศไทยมีแหล่งขยายพันธ์หลักอยู่ที่ศูนย์วิจัยพันธุ์พืช มหาวิทยาลัยแม่โจ้ในภาษาดอกไม้ ดอกไลเซนทัส หมายถึง มิตรภาพที่ยั่งยืน ความทรงจำที่ดี                                                                              


ดอกไฮเดรนเยีย

“Hydrangea”  หรือ ไฮเดรนเยีย เป็นดอกไม้จากต่างประเทศแต่รู้จักกันมานานแล้วในประเทศไทย สันนิษฐานกันว่า คุณไฮเดรนเยียนี้ เดินทางเข้ามาในประเทศไทยในสมัยรัชกาลที่ 5 แต่จะเข้ามาในไทยสมัยใดก็ช่างเถอะ เพราะตอนนี้ไฮเดรนเยียเป็นดอกไม้ที่แพร่หลายในประเทศไทย และเป็นที่นิยมของนักจัดสวน รวมทั้งนิยมนำมาประดับในงานแต่งงาน 
คำว่า  hydrangea มาจากรากศัพท์ภาษากรีก ที่ว่า  water (hydro) และ vessel (angeion) = bowel of water ที่เรียกเช่นนั้นคงเป็นเพราะรูปทรงของดอกคล้ายอ่าง แล้วก็เค้าชอบน้ำมาก...พอขาดน้ำหน่อยก็เหี่ยวเฉา แต่ข้าพเจ้าคิดว่าเจ้าดอกไฮเดรนเยียดูเป็นพุ่มๆ กลมๆ คล้ายอ่างน้ำซะมากกว่า...ดอกไฮเดรนเยียเป็นดอกไม้ที่หลายๆ คนคงจะรู้จักดี แต่ว่าก็ยังมีอีกหลายคนที่เคยเห็นแต่ยังไม่ทันได้ทำความรู้จักกับคุณเธอ....เรามาทำความรู้จักกับเธอกันดีกว่า  

ข้อมูลทางด้านพฤกษศาสตร์

               ไฮเดรนเยีย (Hydrangea) เป็นไม้พุ่งสูง 1-3เมตรจัดเป็นพืชหลายฤดูชอบอากาศหนาวเย็น บางชนิดเป็นไม้ยืนต้นหรือไม้เลื้อยแต่ส่วนใหญ่มักเป็นไม้พุ่มเตี้ยใบเกิดแบบตรงข้ามแผ่นใบมีขนาดกว้างใหญ่ขอบใบจักช่อดอกเกิดส่วนปลายกิ่งหรือยอด  ลำต้นดอกประกอบด้วยใบประดับที่มีสีสวยงามแล้วแต่พันธุ์ ไฮเดรนเยียอาจผลัดใบหรือไม่ผลัดใบก็ได้ แต่ถ้าเป็นชนิดที่อยู่ในเขตอบอุ่นจะผลัดใบ พักตัวในฤดูหนาว

ดอกเฟื่องฟ้า

ชื่อวิทยาศาสตร์: Bougainvillea hybrida
ชื่อสามัญ: ดอกเฟื่องฟ้า (อังกฤษ: Bougainvillea, Paper flower)
ชื่อพื้นเมืองอื่นๆ: Peper Flower, Kertas, ตรุษจีน

 ดอกเฟื่องฟ้า ถูกค้นพบครั้งแรกในประเทศบราซิลโดยนักพฤกษศาสตร์ชาวฝรั่งเศสราว ค.ศ. 1766-1769 และ   ได้ถูกนำไปปลูกยังส่วนต่าง ๆ ของโลก เริ่มจากยุโรป อเมริกาเหนือ และเอเชีย สำหรับในประเทศไทย มีการนำ  พันธุ์เฟื่องฟ้าเข้ามาจากสิงคโปร์ครั้งแรกราว พศ. 2423 ใน สมัยรัชกาลที่ 5 พันธุ์เฟื่องฟ้าในประเทศไทยมีไม่    น้อยกว่าต่างประเทศ เนื่องจากเฟื่องฟ้าเจริญเติบโตได้ดีในประเทศไทย และกลายพันธุ์เกิดเป็นพันธุ์ใหม่ขึ้น      มากมาย