วันเสาร์ที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2557

ทองกวาว ช้างน้าว



ดอกทองกวาว

ชื่อวิทยาศาสตร์      Butea monosperma  (Lam.) Taub
ตระกูล                  PAPILIONACEAE
ชื่อสามัญ              Flame of the forest, Bastard Teak
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
เป็น ไม้ยืนต้นขนาดกลาง สูงประมาณ 12-18 เมตร เปลือกต้นเป็นปุ่มปม กิ่งอ่อนมีขนละเอียดสีน้ำตาลหนา การแตกกิ่งก้านไปในทิศทางที่ไม่ค่อยเป็นระเบียบ
  • ใบ: เป็นใบประกอบแบบขนนก มีใบย่อย 3 ใบ เรียงสลับใบย่อยที่ปลายรูปไข่ กลีบแกมสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูน ใบย่อยด้านข้างเป็นรูปไม่เบี้ยว กว้าง 8-15 เซนติเมตร ยาว 9-17 เซนติเมตร ขอบใบเรียบ
  • ดอก: ออกเป็นช่อคล้ายดอกทองหลาง สีแดงส้ม มีความยาว 6-15 เซนติเมตร มีดอกย่อยเกาะเป็นกลุ่ม เวลาบานมี 5 กลีบ จะออกดอกดกที่สุดในเดือนกุมภาพันธ์ของทุกปี
  • ผล: ผลมีลักษณะเป็นฝักสีน้ำตาลอ่อน แบน โค้งงอเล็กน้อย ไม่แตก ด้านบนหนาแตกเป็น 2 ซีก มีเมล็ดขนาดเล็กอยู่ภายใน 1 เมล็ด ฝักยาวประมาณ 10-12 เซนติเมตร กว้างประมาณ 2-3 เซนติเมตร
การปลูก
นิยมปลูกลงในแปลงปลูก เพื่อประดับบริเวณบ้านและสวน ขนาดหลุมปลูก 50x50x 50 เซนติเมตรใช้ปุ๋ยคอก หรือปุ๋ยหมัก : ดินร่วนอัตรา 1:2 ผสมดินถ้าปลูกเพื่อประดับบริเวณบ้านหรืออาคารควรให้มีระยะห่างที่เหมาะสม เพราะทองกวาวเป็นไม้ที่มีทรงพุ่มใหญ่พอสมควร
การดูแล
แสง ต้องการแสงแดดจัด หรือกลางแจ้ง
น้ำ ต้องการปริมาณน้ำปานกลาง ควรให้น้ำ 7-10 วัน/ครั้ง
ดิน ชอบดินร่วนซุย
ปุ๋ย ใช้ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก อัตรา 2:3 กิโลกรัม/ต้น ควรใส่ปีละ 3-5 ครั้ง
โรค ไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องโรค เพราะเป็นไม้ที่ทนต่อโรคพอสมควร
ประโยชน์
  • ดอก ต้มดื่มเป็นยาแก้ปวด ถอนพิษไข้ ขับปัสสาวะ
  • ฝัก ต้มเอาน้ำเป็นยาขับพยาธิ
  • ยาง แก้ท้องร่วง
  • เปลือก มีงานวิจัยพบว่า สารสกัดจากเปลือก ช่วยเพิ่มขนาดหน้าอกให้ใหญ่ขึ้น แต่จะลดจำนวนอสุจิ
  • เมล็ด บดผสมมะนาว ทาบริเวณผื่นคัน
  • ใบ ต้มกับน้ำ แก้ปวด ขับพยาธิ ท้องขึ้น ริดสีดวงทวาร
  • ราก ต้มรักษาโรคประสาท บำรุงธาตุ



ดอกช้างน้าว

ช้างน้าว มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Ochna integerrima Merr อยู่ในวงศ์ OCHNACEAE มีถิ่นกำเนิดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ช้างน้าวในภาคกลางเรียก กำลังช้างสาร ระนองเรียก กระแจะ จันทบุรีเรียก ขมิ้นพระต้น ทางเหนือเรียก ตาลเหลือง

ช้างน้าวเป็นไม้ต้นผลัดใบขนาดเล็ก สูง 3-8 เมตร แตกกิ่งก้านจำนวนมาก ทรงพุ่มกลม จะผลัดใบพร้อมกับผลิดอก

ใบเป็นใบเดี่ยว รูปหอก เรียงแบบสลับ ปลายกิ่งมีกาบค่อนข้างแข็งปลายแหลมหุ้มตาอยู่ ขอบขนานใบ กว้าง 4-7 เซนติเมตร ยาว 8-18 เซนติเมตร ปลายใบแหลมเหลืองมน ขอบหยักถี่ๆ แผ่นใบเกลี้ยง เป็นมันทั้งสองด้าน

ดอก มีลักษณะเป็นช่อดอกสีเหลือง ออกเป็นช่อกระจุกที่ปลายยอด มีดอกย่อย 2-8 ดอก จะทยอยบาน ดอกย่อยมีกลีบเลี้ยงสีเขียวนวล รูปขอบขนาน 5 กลีบ โค้งงอไปหาปลายดอกและติดอยู่ จนกระทั่งเป็นผล กลีบดอกรูปหอก มีจำนวน 5-10 กลีบ เมื่อดอกย่อยบานมีเส้นผ่าศูนย์กลาง 4 เซนติเมตร หลุดร่วงง่าย แต่ละต้นมีดอกบานอยู่ 4-7 วัน มีกลิ่นหอมอ่อนๆ ฤดูดอกบานอยู่ในช่วงเดือน มกราคม-พฤษภาคม ส่วนใหญ่ผลัดใบก่อนแล้วออกดอกพร้อมกันทั้งต้นในช่วงปลายเดือนมีนาคม

ผลมีสีเขียว ๑-๓ เมล็ด ติดอยู่บนฐานรังไข่สีดำ เมื่อแก่เต็มที่เมล็ดมีสีแดง

เปลือกต้นที่มีรสขม ไปปรุงเป็นยา ช่วยให้เจริญอาหาร

รากไปใช้ขับพยาธิ แก้น้ำเหลืองเสีย

ขยายพันธุ์โดยเพาะเมล็ด ตอนกิ่ง และตัดชำราก ชอบแดดจัด ดินร่วนระบายน้ำดี ทนแล้งได้ดี

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น